เมนู

ละเหตุละผลเสีย ประพฤติคล้อยตามอธรรม ผู้
ใดประพฤติทุจริตมีคำส่อเสียดเป็นต้น ผู้นั้นต้อง
จิกเนื้อหลังของตนกิน เหมือนกระผมจิกเนื้อ
หลังของตนกินในวันนี้ ฉะนั้น ข้าแต่พระนารทะ
ทุกข์ที่กระผมได้รับอยู่นี้ท่านได้เห็นเองแล้ว
ชนใดเป็นคนฉลาด มีความอนุเคราะห์ ชนเหล่า
นั้นพึงกล่าวตักเตือนว่า ท่านอย่าพูดส่อเสียด
อย่าพูดเท็จ อย่าเป็นผู้มีเนื้อหลังของตนเป็น
อาหารเลย.

จบ กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุที่ 9

อรรถกถากูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุที่ 9



เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน มหาวิหาร ทรง
ปรารภเปรตผู้วินิจฉัยโกง จึงตรัสคำเริ่มต้นว่า มาลี กิริฏี กายูรี
ดังนี้.
ในกาลนั้น พระเจ้าพิมพิสาร เข้าจำอุโบสถเดือนละ 6 วัน
มนุษย์เป็นอันมากคล้อยตามท้าวเธอ จึงพากันเข้าจำอุโบสถ. พระ-
ราชาตรัสถาม พวกมนุษย์ผู้มายังสำนักของพระองค์ว่า พวกเธอ
เข้าจำอุโบสถหรือ หรือว่า ไม่เข้าจำ. ในบรรดามนุษย์เหล่านั้น
ผู้พิพากษาตัดสินความคนหนึ่ง เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด เป็นผู้
หลอกลวง ผู้รับเอาสินบน ไม่อดกลั้นเพื่อจะกล่าวว่า หม่อมฉัน

ไม่ได้เข้าจำอุโบสถ แต่กราบทูลว่า หม่อมฉัน เข้าจำอุโบสถ
พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น สหายจึงกล่าวกะเธอ ผู้ออกจากที่ใกล้พระราชา
สหายวันนี้ ท่านเข้าจำอุโบสถหรือ ? เขาตอบว่า สหายเอ๋ย
เพราะความกลัว ผมจึงกราบทูลอย่างนั้น ต่อพระพักตร์พระราชา
แต่ผมไม่ได้เข้าจำอุโบสถ.
ลำดับนั้น สหายจึงกล่าวกะเธอว่า ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น อันดับ
แรกเธอจงรักษาอุโบสถ กึ่งวัน ในวันนี้ เธอจงสมาทานองค์อุโบสถ
เถิด. เธอรับคำของสหายนั้นแล้วไปยังเรือน ไม่บริโภคเลย บ้วน
ปากอธิษฐานอุโบสถ เข้าจำอยู่ในกลางคืน ถูกความเสียดแทง
อันมีพลังลมเป็นต้น เหตุซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากท้องว่าง เข้าตัดอายุ
สังขาร ถัดจากจุติก็ไปบังเกิดเป็นเวมานิกเปรต ในท้องภูเขา.
จริงอยู่ เขาได้วิมาน ซึ่งมีนางฟ้า 10,000 นาง เป็นบริวาร และ
ทิพยสมบัติเป็นอันมาก ด้วยเหตุเพียงการรักษาอุโบสถราตรีเดียว
แต่เพราะตนเป็นผู้พิพากษาโกง และพูดวาจาส่อเสียด ตนเอง
จึงจิกเนื้อหลังของตนเองกิน. ท่านพระนารทะ ลงจากเขาคิชกูฏ
เห็นเธอเข้า จึงถามด้วยคาถา 4 คาถาว่า :-
ตัวท่านทัดทรงดอกไม้ ใส่ชฎา สวมกำไล
ทองคำ ลูบไล้ด้วยจุณจันทน์ มีหน้าผ่องใส
งดงาม ดุจสีพระอาทิตย์อุทัย มาบนอากาศ
มีนางฟ้า 10,000 นางเป็นบริวาร บำรุงบำเรอ
ท่านนางฟ้าเหล่านั้น ล้วนสวมกำไลทองคำ

นุ่งห่มผ้าอันขลิบด้วยทองคำ ท่านเป็นผู้มีอานุภาพ
มาก มีรูปเป็นที่ให้ขนชูชัน แก่ผู้พบเห็น แต่ท่าน
จิกเนื้อที่หลังของตนกินเป็นอาหาร ท่านได้ทำ
กรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือ เพราะ
วิบากแห่งกรรมอะไร ท่านจึงจิกเนื้อหลังของ
ตนเองกินเป็นอาหาร.

เปรตนั้นตอบว่า :-
กระผมได้ประพฤติทุจจริตด้วยการส่อ
เสียด พูดเท็จ พลางและล่อลวงเพื่อความฉิบหาย
แก่ตนในมนุษยโลก กระผมไปแล้วสู่บริษัทใน
มนุษยโลกนั้น เมื่อเวลาควรจะพูดความจริง
ปรากฏแล้ว ละเหตุผลเสีย ประพฤติคล้อยตาม
อธรรม ผู้ใด ประพฤติทุจจริต มีคำส่อเสียด
เป็นต้น ผู้นั้นต้องจิกเนื้อหลัง ของตนกิน เหมือน
กระผมจิกเนื้อหลังของตนกินในวันนี้ ฉะนั้น
ข้าแต่พระนารทะ ทุกข์ที่กระผมได้รับอยู่นี้ ท่าน
ได้เห็นเองแล้ว ชนเหล่าใดเป็นคนฉลาด มีความ
อนุเคราะห์ ชนเหล่านั้นพึงกล่าวตักเตือนว่า ท่าน
อย่าพูดส่อเสียด อย่าพูดเท็จ อย่าเป็นผู้มีเนื้อหลัง
ของตนเป็นอาหารเลย.

ฝ่ายเปรตนั้น ได้ตอบความนั้น ด้วยคาถา 3 คาถา แก่ท่าน
พระนารทะเถระนั้นแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาลี ได้แก่ ผู้ทัดทรงดอกไม้
อธิบายว่า ผู้ประดับด้วยดอกไม้ทิพย์. บทว่า กิริฏี แปลว่า ผู้สวมใส่
ชฎา. บทว่า กายูรี แปลว่า ผู้สวมกำไลทองคำ อธิบายว่า
ผู้ประดับด้วยเครื่องประดับแขน. บทว่า คตฺตา แปลว่า อวัยวะ
คือสรีระ. บทว่า จนฺทนุสฺสทา แปลว่า ผู้ลูบไล้ด้วยจุณจันทร์.
บทว่า สูริยวณฺโณ ว โสภสิ ความว่า ท่านเป็นผู้มีสีหน้าผ่องใส
ดุจพระสุริโยทัยทอแสงอ่อน ๆ. บาลีว่า อรณวณฺณี ปภาสสิ ดังนี้
ก็มี. บทว่า อรณํ ความว่า มีสีเสมอกับเทพผู้ไม่มีความหม่นหมอง
คือ เป็นแดนอันประเสริฐ.
บทว่า ปาริสชฺชา แปลว่า ผู้นับเนื่องในบริษัท อธิบายว่า
ผู้อุปัฏฐาก. บทว่า ตุวํ แปลว่า ท่าน. บทว่า โลมหํสนรูปวา
ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยรูป อันให้เกิดขนชูชันแก่ผู้พบเห็น. จริงอยู่
คำว่า โลมหํสนรูปวา นี้ ท่านกล่าวไว้ เพราะความเป็นผู้พรั่งพร้อม
ด้วยความเป็นผู้มีอานุภาพมาก. บทว่า อุกฺกจฺจ แปลว่า ตัด
อธิบายว่า เฉือน.
บทว่า อจาริสํ แปลว่าได้เที่ยวไปแล้ว คือได้ดำเนินไปแล้ว.
บทว่า เปสุญฺญมุสาวาเทน แปลว่า ด้วยความเป็นผู้พูดส่อเสียด
และพูดคำเท็จ. บทว่า นิกติวญฺจนาย จ ได้แก่ ด้วยการพลาง

และล่อลวง คือ ด้วยการล่อลวง โดยทำให้แปลกแก่ชนเหล่าอื่น
ด้วยแสดงของเทียม.
บทว่า สจฺจกาเล คือ ในกาลอันสมควรเพื่อจะกล่าวคำสัตย์.
บทว่า อตฺถํ ได้แก่ ประโยชน์เกื้อกูล อันต่างด้วยประโยชน์ใน
ปัจจุบันเป็นต้น. บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ เหตุ คือ สิ่งที่ควร. บทว่า
นิรากตฺวา ได้แก่ ทิ้ง คือละ. บทว่า โส ได้แก่สัตว์ผู้ประพฤติ
วจีทุจจริตมีการพูดส่อเสียดเป็นต้น. คำที่เหลือทั้งหมด มีนัยดังกล่าว
แล้วในหนหลังนั่นแล.
จบ อรรถกถากูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุที่ 9

10. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตถูกรดน้ำแสบเฉือนเนื้อด้วยกรรมอะไร



พระมหากัสสปเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า :-
[120] ท่านยืนอยู่ในอากาศ มีกลิ่นเน่าเหม็น
ฟุ้งไป และหมู่หนอนพากันบ่อนฟอนกินปากอัน
มีกลิ่นเหม็นเน่าของท่าน เมื่อก่อนท่านทำกรรม
อะไรไว้ เพราะการฟุ้งไปแห่งกลิ่นเหม็นนั้น
นายนิรยบาลถือเอาศาตรามาเฉือนปากของท่าน
เนือง ๆ รดท่านด้วยน้ำแสบแล้วเชือดเนื้อไป
พลาง ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา
ใจ เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร ท่านจึงได้ประสบ
ความทุกข์อย่างนี้.

เปรตนั้นตอบว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อก่อน กระผมเป็น
อิสรชนอยู่ที่กรุงราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์ มีภูเขา
ล้อมรอบ (บัญจคีรีนคร) เป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์
และข้าวเปลือกมากมาย แต่กระผมได้ห้ามปราม
ภรรยา ธิดา และลูกสะใภ้ของกระผม ซึ่งพากัน
นำพวงมาลา ดอกอุบลและเครื่องลูบไล้อันหาค่า
มิได้ ไปสู่สถูปเพื่อบูชา บาปนั้นกระผมได้ทำไว้